หน้าหลัก > ข่าวและประกาศ > ลับสุดยอด 11 อันดับสมุนไพรให้ความหวาน
ลับสุดยอด 11 อันดับสมุนไพรให้ความหวาน
ลับสุดยอด 11 อันดับสมุนไพรให้ความหวาน
19 Apr, 2024 / By primacaregroup
Images/Blog/yK6ZHd9h-CR039-2023-ลับสุดยอดสมุนไพรให้ความหวาน-Banner_1200x500px.png

1. หญ้าหวาน (Stevia)
หญ้าหวาน เป็นพืชท้องถิ่นของบราซิลและปารากวัยซึ่งนิยมนำมาผสมกับเครื่องดื่มชากันมานานแล้ว เพื่อให้มีเครื่องดื่มชามีรสชาติหวาน และที่ประเทศญี่ปุ่นเองก็ชื่นชอบการกินหญ้าหวานกันอย่างแพร่หลายโดยการนำหญ้าหวานมาใช้หมักกับผักดองหรือใช้เป็นส่วนผสมในการทำเต้าเจี้ยว แต่ในประเทศไทย ช่วงปีพ.ศ.2518 เริ่มมีการนำใบหญ้าหวานมาใช้กัน โดยการนำไปตากแห้งแล้วนำมาชงใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มนั้น ๆ แทนน้ำตาลทราย เรียกได้ว่า หญ้าหวาน คือพืชสมุนไพรให้ความหวานทางเลือกใหม่สำหรับใช้เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล และกำลังเป็นที่นิยมในหมู่คนรักสุขภาพ เพราะเชื่อว่ารับประทานแล้วไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย ทั้งยังให้รสชาติหวานเหมือนน้ำตาล และทุกวันนี้มีการเลือกบริโภคหญ้าหวานมากขึ้น ในรูปแบบใบหญ้าหวานสกัดชนิดผง สำหรับตักผสมลงในเครื่องดื่ม หรือใช้ปรุงอาหารแทนน้ำตาลนั่นเอง และกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มผลิตภัณฑ์สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ที่เรียกว่า ใบหญ้าหวานสกัด (สตีเวีย) เพราะใบหญ้าหวานสกัด (สตีเวีย) ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล 150 – 300 เท่า แต่ไม่ให้โทษและไม่มีแคลลอรี่


2. ซูคราโลส (Sucralose)
ซูคราโลส เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาล ซึ่งมีความหวานสูงเป็น 600 เท่าของน้ำตาลทราย ได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) ให้ใช้เป็นสารแทนความหวานทั่วไปได้ (general-purpose sweetener) ซูคราโลสมีข้อดีคือ รสชาติดี คล้ายน้ำตาล ไม่มีรสขม ใช้ได้หลากหลาย ทนความร้อนในการหุงต้มและอบ มักได้รับความนิยมในการนำไปใช้ในการทำเบเกอรี่
 

3. แอสปาร์เทม (Aspartame)
เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่ให้ความหวานประมาณ 160-220 เท่าของน้ำตาลทราย ได้รับอนุญาตจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา(FDA) ให้ใช้เป็นสารให้ความหวานทั่วไปได้ (general-purpose sweetener) แม้ว่าแอสปาร์เทมจะให้พลังงานเท่ากับน้ำตาลทราย คือ 4 กิโลแคลอรี่ต่อกรัม แต่เนื่องจากแอสปาร์เทมมีความหวานมาก จึงใช้ในปริมาณเพียงเล็กน้อย ก็สามารถให้ความหวานเทียบกับน้ำตาลทรายได้ ดังนั้นจึงสามารถให้ความหวานที่เท่ากับน้ำตาลทราย แต่ให้แคลอรี่ที่น้อยกว่ามาก

4. ไซลิทอล (Xylitol) 
ไซลิทอล คือ แอลกอฮอล์ของน้ำตาล (Sugar alcohol) เป็นสารให้ความหวานอีกชนิดหนึ่งที่มีความหวานคล้ายน้ำตาล โดยให้พลังงานที่ 2.4 แคลอรี่ต่อกรัมหรือ 2 ใน 3 ของน้ำตาลธรรมดา สารให้ความหวานไซลิทอลเป็นชื่อยอดฮิตที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ในช่องปาก เพราะมีคุณสมบัติช่วยลดฟันผุ และกระดูกพรุนได้นั่นเอง ไซลิทอลไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดและระดับอิซูลิน แต่แอลกอฮอล์ของน้ำตาลเหล่านี้หากรับประทานมากไป อาจมีผลข้างเคียงต่อระบบย่อยอาหารได้ นอกจากนี้ยังควรระวังไม่ให้สุนัขรับประทาน เพราะเป็นอันตรายต่อสุนัข
 

5. อิริทริทอล (Erythritol)
น้ำตาลอิริทริทอล คือสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่แคลอรี่ต่ำและจัดว่าปลอดภัย โดยปกติอิริทริทอลคือแอลกอฮอล์ของน้ำตาล (Sugar alcohol) ซึ่งพบได้ในผลไม้บางชนิด ผลิตโดยการหมักน้ำตาลกลูโคสด้วยยีสต์ อิริทริทอล (Erythritol) มีความหวานเท่ากับ 70% ของน้ำตาลทรายและให้พลังงานเท่ากับ 0.24 กิโลแคลอรี่ต่อกรัม หรือให้พลังงานเพียงแค่ 6% ของน้ำตาลปกติ สารให้ความหวานในกลุ่มแอลกอฮอล์ของน้ำตาลนี้มีข้อดีตรงที่ดูดซึมช้าและไม่สมบูรณ์ จึงไม่ทำให้มีการหลั่งอินซูลินรวดเร็วเหมือนน้ำตาลกลูโคสหรือน้ำตาลทราย จึงใช้ในผู้ป่วยเบาหวานได้ดี นอกจากนี้ยังไม่มีผลเพิ่มไขมันในเลือดเช่น โคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์


6. หล่อฮังก้วย (Monk Fruit)
หล่อฮังก้วย อีกหนึ่งทางเลือกของการบริโภคสารให้ความหวาน เพราะแต่เดิมนั้น หล่อฮังก้วย เป็นสมุนไพรจีนที่มีรสหวาน นิยมนำผลหล่อฮังก้วยมาตากแห้งแล้วนำไปต้มเป็นเครื่องดื่ม โดยมีความเชื่อว่าสมุนไพรชนิดนี้อาจมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านการอักเสบ ส่งผลดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวาน และเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการจำกัดปริมาณการบริโภคน้ำตาล
 

7. น้ำผึ้ง (Honey)
ศาสตร์ทางการแพทย์ของหลายประเทศใช้น้ำผึ้งในการรักษาอาการป่วย มีพรีไบโอติกส์และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีส่วนช่วยลดอาการอักเสบของโรคผิวหนังต่าง ๆ มีคุณค่าในด้านการดูแลความสวยความงาม ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย ช่วยบำรุงสมอง และในทางเคมีนั้น น้ำผึ้งมีสารประกอบหลัก ๆ ที่เหมือนกันกับน้ำตาลทราย คือ กลูโคสและ ฟรุกโตสมากถึง 70% รวมถึงมีซูโครสอยู่ 10% ด้วย และแม้ว่าน้ำผึ้งจะมีแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่บ้าง แต่ด้วยความที่น้ำผึ้งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ร่างกายจึงสามารถดูดซึมไปใช้ได้เร็ว นอกจากนี้น้ำผึ้งยังมีวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระด้วย น้ำผึ้งจึงถือว่าเป็นสารให้ความหวานจากธรรมชาติที่ดีชนิดหนึ่ง แต่ด้วยแคลอรี่ที่สูงกว่าน้ำตาลทรายแต่ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ จึงควรระวัง ปริมาณ ในการรับประทานเป็นพิเศษเช่นกัน และตอนนี้ในตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพบ้านเรา กำลังเริ่มนิยมน้ำผึ้งมานูก้า หรือ Manuka Honey ซึ่งเป็นน้ำผึ้งที่ได้จากผึ้งที่ผสมเกสรกับต้นมานูก้า ที่มีแหล่งกำเนิดและเติบโตตามธรรมชาติในประเทศออสเตรเลียและประเทศนิวซีแลนด์ โดยขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำผึ้งที่มีประโยชน์ที่สุดในโลกและได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าเป็นน้ำผึ้งที่มีคุณค่าและสารอาหารที่มีอยู่สูงกว่าน้ำผึ้งทั่วไป เช่น กรดอะมิโน วิตามินบีรวม และแร่ธาตุต่าง ๆ อย่างเช่น แคลเซียมและแมกนีเซียม เป็นต้น ที่มีสูงกว่าถึง 4 เท่า และมีคุณสมบัติเป็นยาที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งภายในและภายนอก ทำให้น้ำผึ้ง Manuka กลายเป็นไอเท็มที่สาวกบิวตี้เฮลตี้ต่างนิยมในการนำมาบริโภคนั่นเอง
 

8. น้ำตาลมะพร้าวหรือน้ำตาลโตนด (Coconut sugar)
น้ำตาลมะพร้าว/น้ำตาลโตนด นอกจากจะมีกลิ่นและรสชาติที่หอมหวาน ถือเป็นอาหารกลุ่มที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำคือ 35 จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงขึ้นเร็วจนเกินไป ดังนั้นจะทำให้อินซูลินเพิ่มระดับอย่างช้า ๆ ทำให้รู้สึกอิ่มนาน เป็นแหล่งความหวานที่ให้แคลอรี่ต่ำกว่าน้ำตาลทั่วไป และมีโพแทสเซียมช่วยควบคุมความดันและน้ำตาลในเลือดด้วย ยิ่งไปกว่านั้นน้ำตาลมะพร้าวยังมีแร่ธาตุอื่น ๆ รวมทั้งวิตามินบางชนิดที่น้ำตาลทรายแดงไม่มี ความหวานจากน้ำตาลมะพร้าวเป็นความหวานแบบสดชื่นที่ช่วยลดอาการอ่อนเพลียให้ร่างกายได้อีกด้วย 
 

9. น้ำเชื่อมเมเปิ้ล (Maple syrup)
เป็นสารให้ความหวานจากธรรมชาติ 100% ที่มีความหวานมากกว่าน้ำตาลจากอ้อยถึง 3 เท่า แต่มีแคลอรี่น้อยกว่า และไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีเลย ทำให้เมเปิ้ลไซรัปค่อนข้างปลอดภัยกว่าน้ำตาลทั่วไป และยังมี Zinc ที่ช่วยบำรุงเลือดและการทำงานของหัวใจอีกด้วย
 

10. น้ำหวานจากเกสรดอกไม้ (Agave nectar)
น้ำหวานจากเกสรดอกไม้เป็นหนึ่งในสารให้ความหวานจากธรรมชาติที่เรียกอีกชื่อว่าไซรัปจากเกสรดอกไม้ (Agave Syrup) ผลิตมากจาก Agave (อากาเว่) ที่พบในเม็กซิโก น้ำหวานจากเกสรดอกไม้นี้มีรสชาติเหมือนน้ำผึ้ง ที่มีข้อดีคือเป็นสารให้ความหวานที่มีองค์ประกอบของ วิตามิน เกลือแร่ และสารอาหารที่จำเป็นทางโภชนาการ เป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่มีคุณสมบัติของความหนืดน้อยกว่าผึ้ง จึงสามารถละลายในอาหารและเครื่องดื่มได้ดี มีความเหมาะสมสำหรับการนำไปปรุงในอาหารมังสวิรัติ แต่มีข้อด้อยในเรื่องของปริมาณแคลอรี่ที่เท่ากับน้ำผึ้งและไม่แตกต่างจากน้ำตาล อีกทั้งยังมีปริมาณฟรุกโตสสูง ซึ่งการบริโภคฟรุกโตสสูงเกินไปนั้นส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น มีผลต่อระดับไขมันในเลือด อาจนำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับ ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนลงพุงและโรคเบาหวานอีกด้วย
 

11. อินทผาลัม (Dates)
อินทผาลัม ใช้แทนน้ำตาลในการทำขนมเพื่อสุขภาพหลายอย่าง ถือเป็นผลไม้ที่ให้ความหวานสูงมากตามธรรมชาติ และมาพร้อมสารอาหารที่ดีต่อร่างกายมากมาย เช่น มีไฟเบอร์สูง (1 ผลมีไฟเบอร์ถึง 2 กรัม) อินทผาลัม ยังประกอบไปด้วยน้ำตาลฟรุคโตสซึ่งไม่เหมาะเท่าไหร่นักสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานแม้ว่าจะมีค่าดัชนีน้ำตาลที่ต่ำ หมายความว่า ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดผันผวนรวดเร็วแต่ผู้ที่เป็นเบาหวานไม่ควรรับประทานเกินครั้งละ 1-2 ผลเท่านั้น

 

CR : hottaginger
#พรีมา #prima #primagroup #primacaregroup #primasukafiberplus #สารให้ความหวานแทนน้ำตาล #หญ้าหวาน #stevia #primavitallifeprobiotic #โปรไบโอติค #โพรไบโอติค #Probiotic #primacoffeemasterpiece #primacoffeevitallife #น้ำตาล #โรคเบาหวาน  #บำรุงร่างกาย #สุขภาพดี

Like
ความคิดเห็น (0)
ก่อนหน้า 1 ถัดไป
ร้านค้าออนไลน์
© 2006-2024
Vevo Systems Co., Ltd.