หน้าหลัก > ข่าวและประกาศ > ลดน้ำหนักแบบ if ด้วยสูตรการสลับช่วงเวลาการกินที่ได้ผล
ลดน้ำหนักแบบ if ด้วยสูตรการสลับช่วงเวลาการกินที่ได้ผล
ลดน้ำหนักแบบ if ด้วยสูตรการสลับช่วงเวลาการกินที่ได้ผล
18 Apr, 2024 / By primacaregroup
Images/Blog/SRKjejqn-ลดน้ำหนักแบบ-if-ด้วยสูตรการสลับช่วงเวลาการกินที่ได้ผล.jpg

1. การจำกัดช่วงเวลาช่วงเวลากินอาหาร

การทำ if ตามรูปแบบนี้ถือว่าเป็นแบบที่หลายคนคุ้นชินกัน คือ การทำ if แบบ 16:8 เป็นการทำ if ในรูปแบบที่เหมาะสมกับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มมากที่สุด เนื่องจากว่าเป็นช่วงเวลาของการจำกัดการกินที่ทำได้ง่าย และไม่จำเป็นต้องอดอาหารเลย เพียงแค่จะต้องกินภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้นเอง นอกจากการทำ if แบบ 16:8 แล้ว ก็ยังมีการจำกัดช่วงเวลาในการกินอาหารแบบอื่น ๆ ด้วย เช่น 

  • การทำ if แบบ 12:12 โดยจะเป็นวิธีที่ใน 1 วันสามารถกินได้ 12 ชั่วโมง และจะต้องงดอาหารเป็นเวลา 12 ชั่วโมง
  • การทำ if แบบ 5:19 โดยจะเป็นวิธีที่ใน 1 วันสามารถกินได้ 5 ชั่วโมง และจะต้องงดอาหารเป็นเวลา 19 ชั่วโมง
  • การทำ if แบบ 4:20 โดยจะเป็นวิธีที่ใน 1 วันสามารถกินได้ 4 ชั่วโมง และจะต้องงดอาหารเป็นเวลา 20 ชั่วโมง

2. การกินอาหารแบบวันเว้นวัน

การทำ if ด้วยวิธีการกินอาหารแบบวันเว้นวัน เป็นการทำ if ที่จะกินอาหารปกติ แล้วจะสลับไปงดอาหารในแต่ละสัปดาห์ เช่น มีการกินอาหารในวันจันทร์แบบปกติ และเมื่อถึงวันอังคารก็จะงดการกินอาหารไปเลยทั้งวัน ซึ่งจะต้องทำแบบนี้สลับกันไปเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม ในวันที่จะต้องงดอาหารนั้น ก็ควรจะกินอาหารให้ได้ 500 แคลอรี เพื่อเป็นการช่วยให้ร่างกายเกิดการรักษาระบบเผาผลาญเอาไว้นั่นเอง

3. การกินอาหารแบบ 5:2

การกินอาหารแบบ 5:2 เป็นวิธีการทำ if ที่จะต้องมีการกินอาหารแบบปกติเป็นเวลา 5 วัน และอีก 2 วันที่เหลือของสัปดาห์ก็จะทำการงดอาหารไป โดยผู้ทำ if จะสามารถเลือกวันที่ต้องการงดอาหารเองได้ ทั้งนี้ใน 2 วันที่จะทำการงดอาหารนั้น ก็จำเป็นที่จะต้องทำการกินอาหารให้ได้รวมกัน 2 วันให้ได้ 500 แคลอรี เช่น แบ่งเป็นวันละ 250 แคลอรี การทำเช่นนี้จะช่วยรักษาระบบเผาผลาญให้กับร่างกายเอาไว้ได้ 

4. การงดกินอาหารแบบทั้งวัน

การงดกินอาหารแบบทั้งวัน เป็นวิธีการทำ if ที่จะต้องงดกินอาหารไปเลย 24 ชั่วโมง เช่น หากว่างดการกินอาหารในช่วง 13.00 น. ก็จะต้องงดอาหารไปจนถึงเวลา 13.00 น. ของอีกวันหนึ่งเลย จึงจะเท่ากับงดอาหารครบ 24 ชั่วโมงนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตาม การทำ if ตามรูปแบบนี้ก็มีข้อแม้อยู่ตรงที่ไม่ควรทำเกิน 1-2 สัปดาห์ เนื่องจากว่าเป็นวิธีการที่จะผลเสียต่อร่างกายมากที่สุด เพราะเมื่องดอาหารไปเลยทั้งวัน ก็จะเป็นการทำให้ร่างกายขาดพลังงานที่จำเป็นต้องใช้ไป รวมถึงยังส่งผลต่อเรื่องของอารมณ์ได้ด้วย

 

 

การลดน้ำหนักแบบ if มีประโยชน์อย่างไร แล้วใช้เวลานานไหมกว่าจะเห็นผล

 

ในส่วนต่อมาก็อยากที่จะให้ได้เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของประโยชน์ของการลดน้ำหนักด้วย if และการลดน้ำหนักแบบ if กี่วันเห็นผลกันบ้าง โดยการลดน้ำหนักด้วยวิธีการนี้จะเป็นการช่วยให้น้ำหนักลดลง ไขมันในร่างกายลดลง และยังเป็นการช่วยให้ลดโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคเรื้อรังแบบไม่ติดต่อด้วย เช่น การลดโอกาสเสี่ยงเป็นไขมันสูง, โรคเบาหวาน, โรคหลอดเลือดหัวใจ, ความดันโลหิตสูง และการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง นอกจากนั้นแล้วยังช่วยทำให้ระบบประสาททำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น และลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ด้วย ซึ่งจากการวิจัยพบว่า การทำ if สามารถชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้นั่นเอง

การทำ if เป็นสิ่งที่หลายคนอาจจะยังสงสัยอยู่ว่าจริง ๆ แล้วสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหม โดยหากจะถามว่าช่วยได้จริงไหมก็ต้องบอกเลยว่า สามารถช่วยได้จริง เพราะว่าตอนที่กินอาหารเข้าไปร่างกายก็จะมีปริมาณอินซูลินที่สูงขึ้น ในช่วงนี้เองร่างกายจะไม่มีการดึงเอาพลังงานที่สะสม หรือว่าไขมันออกมาใช้ แต่จะเป็นการนำเอาพลังงานจากส่วนอื่น ๆ มาใช้แทน หรือจะไม่ได้เป็นการเผาผลาญไขมัน ทั้งนี้ในทางกลับกันหากว่าปริมาณของอินซูลินต่ำลง ก็จะช่วยให้ร่างกายมีการดึงเอาพลังงานสะสมออกมาใช้ เนื่องจากว่าไม่มีพลังงานจากแหล่งอื่น ๆ นั่นเอง จึงทำให้สามารถลดไขมันได้ดีในช่วงที่ทำการอดอาหาร หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเมื่ออดอาหารแล้วร่างกายมีอินซูลินลดลง ร่างกายจึงจะสามารถดึงเอาพลังงานที่สะสมอยู่มาใช้มากขึ้นนั่นเอง

มาถึงในเรื่องของระยะเวลาในการทำ if ให้เห็นผลนั้น ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้คนสงสัยมากเช่นกัน โดยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นก็จะขึ้นอยู่กับร่างกาย อายุ น้ำหนัก ปริมาณกล้ามเนื้อ และเพศ อีกทั้งยังรวมไปถึงเรื่องของการควบคุมอาหารด้วย หากว่าไม่ได้หลุดไปจากทำ if บ่อย และมีการกินอาหารที่ดีพร้อมกับการออกกำลังกายด้วย ก็จะช่วยให้เห็นผลลัพธ์ได้ดี และไวมากยิ่งขึ้นนั่นเอง แต่ถ้าอยากจะให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีและเห็นผลได้ไวมากขึ้น ก็แนะนำว่าให้ปรึกษาจากผู้มีความรู้ด้านนี้โดยตรง เช่น เทรนเนอร์ ก็จะสามารถช่วยวิเคราะห์ และช่วยให้ดูแลร่างกายได้ดีมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ก็จะต้องมีผู้ที่ทำการลดน้ำหนักด้วยวิธี if แล้วไม่ได้ผลอยู่แน่นอน โดยการที่ทำแล้วไม่สำเร็จนั้นก็มีสาเหตุ หรือว่าปัจจัยบางอย่างอยู่ นั่นก็อาจจะเป็นเพราะว่ามีการเข้าใจผิดเกี่ยวกับการกินอาหาร เนื่องจากว่าการทำ if จะต้องงดอาหารตามช่วงเวลาของตารางการทำ if อีกทั้งอาหารที่กินไม่ใช่ว่าจะกินอะไรก็ได้ แต่ต้องเลือกกินให้เหมาะสม ไม่เช่นนั้นก็จะทำให้ทำแล้วไม่ได้ผลนั่นเอง ซึ่งนอกจากนั้นแล้วก็อาจจะเกิดจากการที่กินมากเกินไป, การกินน้อยเกินไป, การกินหวานมากไป และการนอนดึกก็ส่งผลต่อเรื่องของการลดน้ำหนักเช่นกัน

 

 

แชร์เทคนิคการลดน้ำหนักด้วย if แบบที่ไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย

เมื่อได้ทราบกันไปแล้วว่า ลดน้ำหนักแบบ if คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร และมีกี่รูปแบบบ้าง ในส่วนต่อมาก็อยากจะแชร์ถึงเทคนิคในการช่วยลดน้ำหนักด้วย if กันบ้าง ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยให้การทำ if ของแต่ละคนนั้นสามารถเห็นได้จริง และให้ผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น ซึ่งวิธีการก็มีดังต่อไปนี้

  • การกำหนดช่วงเวลากินและการอดอาหารให้ชัดเจน สำหรับเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องแรกที่คนทำ if ต้องจัดการเลย โดยจะต้องมีการกำหนดช่วงเวลากิน และช่วงเวลาในการอดอาหารให้ชัดเจน ซึ่งการกำหนดนี้ควรจะเป็นไปตามนาฬิกาของชีวิต เช่น หากว่าเลือกทำ if แบบ 16:8 ก็ควรเริ่มกินอาหารในเวลา 8 โมงเช้า และหยุดการกินอาหารเอาไว้ที่ 4 โมงเย็น แล้วหลังจากนั้นก็จะเข้าสู่ช่วงเวลาของการอดอาหารแล้ว ทั้งนี้ก็แนะนำว่าไม่ให้เลือกกินในช่วงเวลาดึก เพราะจากที่ส่งผลดีต่อร่างกาย ก็จะกลายเป็นส่งผลเสียต่อร่างกายแทน 
  • กินอาหารให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย แม้ว่าในการทำ if จะต้องมีการกำหนดเวลากิน และเวลาในการอดอาหารให้ชัดเจนก็จริง แต่ในช่วงที่จะต้องกินก็ควรกินในปริมาณที่เหมาะสมด้วย ไม่ใช่ว่าจะกินเท่าไหร่ก็ได้ตามใจตัวเอง เพราะว่าการกินจะต้องกินให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายด้วย หรือการกินในปริมาณที่เหมาะสมนั่นเอง ทั้งนี้ก็จะต้องใส่ใจในการเลือกกินอาหารในแต่ละวันให้มากขึ้น และให้ความสำคัญกับเรื่องของสารอาหาร เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและเพียงพอ
  • ออกกำลังกายวันละ 30 นาที การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ควรอย่างยิ่งในการทำร่วมกับการควบคุมอาหาร เพราะเป็นสิ่งที่สามารถช่วยให้มีการลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยในช่วงเริ่มต้นของการทำ if ก็แนะนำว่าให้ออกกำลังกายด้วยวันละ 30 นาที และจะต้องออกกำลังกายแบบนี้ไปให้ได้ 3-5 วันต่อสัปดาห์ เพื่อเป็นการช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญไขมันได้เร็วมากยิ่งขึ้น

CR : madamefigarothai

#พรีมา #prima #primagroup #primacaregroup #primasukafiberplus #สารให้ความหวานแทนน้ำตาล #หญ้าหวาน #stevia #primavitallifeprobiotic #โปรไบโอติค #โพรไบโอติค #Probiotic #primacoffeemasterpiece #primacoffeevitallife #ลดน้ำหนัก #ควบคุมแคลอรี   #สุขภาพ

Like
ความคิดเห็น (0)
ก่อนหน้า 1 ถัดไป
ร้านค้าออนไลน์
© 2006-2024
Vevo Systems Co., Ltd.