หน้าหลัก > ข่าวและประกาศ > สาเหตุของการแก่ชรา
สาเหตุของการแก่ชรา
สาเหตุของการแก่ชรา
18 Apr, 2024 / By primacaregroup
Images/Blog/7xj9CY7c-S__4554802.jpg

สาเหตุของความแก่ชรา:

1. ความไม่มีเสถียรภาพทางพันธุกรรม
เมื่อเวลาผ่านไป พิมพ์เขียวทางพันธุกรรม-DNA ของเราจะไม่สามารถคงสภาพทางกายภาพหรือเพิ่มจำนวนได้  ความไม่เสถียรของพันธุกรรมนี้อาจส่งผลให้เกิดความเสียหายของ DNA ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพหลายประการ

ปัจจัยภายนอกและภายในก่อให้เกิดอันตรายต่อพันธุกรรม-DNA ของเราอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยที่สร้างความเสียหายเหล่านี้ ได้แก่ รังสียูวีจากแสงแดดหรืออนุมูลอิสระที่เกิดในไมโตคอนเดรียของเรา มีการคาดการณ์ว่า DNA ของเราได้รับความเสียหายมากถึงล้านครั้งต่อวัน แต่เนื่องจากเซลล์มีมีกลไกการตรวจจับและซ่อมแซมที่มีประสิทธิภาพ ความเสียหายส่วนใหญ่จึงได้รับการซ่อมแซมทันที

อย่างไรก็ตาม กระบวนการซ่อมแซมเหล่านี้ยังไม่สมบูรณ์แบบและมีความเสียหายบางส่วนที่ยังคงไม่ได้รับการซ่อมแซม เมื่อเราอายุมากขึ้น ความเสียหายของ DNA ก็จะสะสม ซึ่งอาจส่งผลเสียหลายประการ เช่นการกลายพันธุ์ เนื่องจากการกลายพันธุ์ของ DNA ช่วยเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดเนื้องอก และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งตามอายุ


2. การสั้นลงของเทโลเมียร์
เทโลเมียร์เป็นเกราะป้องกันที่พบที่ส่วนปลายของโครโมโซมของจีโนมมนุษย์ และทำงานคล้ายกับปลายเชือกผูกรองเท้าที่ปิดและรักษาโครโมโซมของเราให้คงอยู่ เทโลเมียร์จะสั้นลงในแต่ละครั้งที่มีการแบ่งเซลล์ และเมื่อถึงความยาวที่กำหนด เซลล์จะเข้าสู่ระยะพักและหยุดการแบ่งตัว เซลล์เหล่านี้สามารถตายหรือทำให้เกิดการอักเสบ ซึ่งมีส่วนช่วยเร่งกระบวนการแก่ชราและกระตุ้นให้เกิดโรคได้

การทำให้เทโลเมียร์สั้นลงเป็นองค์ประกอบปกติของวัฏจักรของเซลล์ อย่างไรก็ตาม ความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน การอักเสบ และความเครียดเรื้อรัง เหล่านี้ล้วนนำไปสู่การสั้นลงของวงจรเทโลเมียร์ ซึ่งส่งผลเชิงลบต่ออายุทางชีวภาพภายในและการมีอายุยืนยาวของคุณ

เทโลเมียร์ถูกควบคุมการทำงานโดยเอนไซม์ที่เรียกว่า เทโลเมียร์เรส ซึ่งการขาดเอนไซม์นี้สัมพันธ์กับการเกิดโรคต่างๆ ก่อนวัยอันควร รวมถึงการสูญเสียศักยภาพในการสร้างเซลล์เนื้อเยื่อใหม่

3. การเปลี่ยนแปลงของกระบวนการเหนือพันธุกรรม
จีโนมของเราประกอบด้วยตัวอักษรมากกว่า 3 พันล้านตัวที่เรียกว่า คู่เบสของนิวคลีโอไทด์ ซึ่งเสมือนพิมพ์เขียวในร่างกายของเรา อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางพันธุกรรมของ DNA ไม่ได้ถูกจัดเก็บไว้ในคู่เบสเท่านั้น ยังมีการปรับแต่งทางเคมีทั้งกับตัวอักษรเหล่านั้นและกับโปรตีนฮิสโตนซึ่งทำหน้าที่ห่อหุ้มดีเอ็นเออีกด้วย กลุ่มการปรับแต่งทางเคมีเหล่านี้รวมกันเรียกว่า "เอพิจีโนม” "แต่ยังต่างจากข้อมูลในรหัสพันธุกรรมซึ่งมีความคงตัวสูง แต่ เอพิจีโนม มีการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายจากการ ตอบสนองต่อปัจจัยต่างๆ เช่น อาหาร ยา หรือความเครียด เพื่อทำให้เซลล์สามารถปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมได้ และ เอพิจีโนมเองก็ยังเปลี่ยนแปลงไปตามวัยด้วย และการปรับแต่งใน DNA ที่สำคัญในบริบทนี้คือ "ปฏิกิริยาเมทิลเลชัน" เนื่องจากดีเอ็นเอของเรามีกลุ่มเมทิลล์ขนาดเล็กนับล้านจุด และรูปแบบการกระจายของกลุ่มเมทิลล์เหล่านี้ก็เปลี่ยนแปลงไปตามวัยในแต่ละเนื้อเยื่อ
 
สิ่งที่น่าประหลาด คือ ปฏิกิริยาการเกิดเมทิลเลชันของดีเอ็นเอ เพียง 350 จุด เท่านั้น สามารถทำนาย "อายุทางชีวภาพ" ของบุคคลได้ สิ่งที่เรียกว่า "นาฬิกาอิพิเจเนติก" นี้ ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในฐานะ "ตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ" สำหรับประเมิน หาว่าจะวิถีทางที่ดี ที่ส่งผลต่อช่วงอายุขัยที่มีสุขภาพดีของมนุษย์หรือไม่

การเปลี่ยนแปลงทางอิพิเจเนติกส์เหล่านี้ ถูกคุมการเปิด-ปิด โดยปัจจัยต่างๆ เช่น เอนไซม์ วิถีชีวิต สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรม แม้การเปลี่ยนแปลงทางอิพิเจเนติกส์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงลำดับ DNA โดยตรง แต่ส่งผลต่อ ผลผลิตของยีน ทำให้โปรตีนที่ออกมาแตกต่างจากเดิม ส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ และมีบทบาทสำคัญในความเสื่อมของเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความแก่ชราและโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

4. การสูญเสียความสมดุลของโปรตีน
โปรตีนเป็นโมเลกุลที่สำคัญที่สุดในเซลล์ของมนุษย์ ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาทางเคมีเกือบทั้งหมดในร่างกาย และมีบทบาทสำคัญในการส่งสัญญาณและความเสถียรของเซลล์  โปรตีนจะต้องอยู่ในสภาพที่ดีเพื่อให้เซลล์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราเรียกกระบวนการรักษาสมดุลของโปรตีน เซลล์มีกระบวนการมากมายที่ควบคุมการผลิตโปรตีน การพับ และการย่อยสลายเพื่อรักษาระดับ โปรตีนที่ผิดปกติ โดยจะถูกย่อยสลายโดยโปรตีเอโซม หรือใช้กลไกออโตฟาจี (Autophagy) ซึ่งเป็นกระบวนการที่เซลล์กินตัวเอง

กระบวนการแก่ชรานั้นมีลักษณะเฉพาะ คือ การสูญเสียความสมดุลของ Proteostasis (การควบคุมการผลิตและทำลายโปรตีนในเซลล์)  ซึ่งส่งผลให้เกิดการสะสมของโปรตีนที่เสียหายและไม่ทำงาน โปรตีนที่พับผิดสามารถจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อน ซึ่งพบได้บ่อยในความผิดปกติของระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับอายุ เช่น โรคอัลไซเมอร์และพาร์กินสัน

5. การตอบสนองต่อสารอาหารผิดปกติ
เซลล์ของเราต้องใช้ระบบเพื่อเชื่อมโยงการเจริญเติบโตและการเผาผลาญสารอาหารที่มีอยู่ ดังนั้นเซลล์ของเราจึงมี วิถีทางหรือเส้นทางการรับรู้สารอาหาร สองแบบหลัก ๆ คือ ผ่านฮอร์โมนหรือผ่านการรับรู้โดยตรงจากส่วนย่อยของสารอาหารนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น เส้นทางอินซูลินและ mTOR ทำงานร่วมกันเป็นเสมือนศูนย์กลางควบคุมสารอาหารภายในเซลล์ และยังเกี่ยวข้องกับประโยชน์ของการจำกัดแคลอรี่ ที่น่าสนใจคือ การยับยั้งเส้นทางเหล่านี้ด้วยกรรมพันธุ์หรือยาก็สามารถยืดอายุขัยในสัตว์ทดลองได้ ทำให้เส้นทางเหล่านี้เป็นเป้าหมายที่น่าสนใจสำหรับการพัฒนา ยาต่อต้านความชราในอนาคต

ร่างกายของเรามีความสามารถในการรับรู้และตอบสนองต่อสารอาหารสำคัญต่างๆ เช่น กลูโคส กรดอะมิโน และกรดไขมัน เมื่อความสามารถนี้ทำงานผิดปกติ จะนำไปสู่ภาวะ "ผิดปกติของระบบเผาผลาญ" ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคต่างๆ เช่น เบาหวาน โรคอ้วน และยังส่งผลกระทบต่อ epigenetic (การควบคุมเหนือพันธุกรรม) ด้วย

6. ไมโตคอนเดรียทำงานผิดปกติ
ไมโตคอนเดรีย เป็นออร์แกเนลล์ขนาดเล็กภายในเซลล์ ไม่ใช่แค่ "โรงไฟฟ้าของเซลล์" เท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางสำคัญของกระบวนการเมตาบอลิซึมภายในเซลล์ด้วย พวกมันใช้พลังงานจากออกซิเจน ในกระบวนการที่เรียกว่า "การหายใจแบบไมโตคอนเดรีย"
 
สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของไมโตคอนเดรียคือ พวกมันมีดีเอ็นเอของตัวเอง เรียกว่า "mtDNA" ซึ่งทำหน้าที่กำหนดรหัสโปรตีนที่จำเป็นสำหรับการหายใจ สิ่งค้นพบที่สำคัญเกี่ยวกับไมโตคอนเดรียและกระบวนการชรา คือ การทดลองในหนูที่มีอัตราการกลายพันธุ์ของ mtDNA สูง เรียกว่า หนูกลายพันธุ์ mtDNA หนูเหล่านี้จะมีอายุขัยสั้นและแสดงอาการแก่ก่อนวัย
นอกจากนี้ ไมโตคอนเดรียยังเป็นแหล่งกำเนิดหลักของ "อนุมูลอิสระออกซิเจน" (ROS) ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการหายใจแบบไมโตคอนเดรีย อนุมูลอิสระเหล่านี้เป็นโมเลกุลที่มีอิเล็กตรอนอิสระ ซึ่งสามารถทำลายโมเลกุลขนาดใหญ่ชนิดอื่น ๆ เช่น ดีเอ็นเอ ไขมัน และโปรตีน ดังนั้น จึงอาจเป็นอันตรายต่อเซลล์และเร่งกระบวนการชราได้

7. เซลล์หยุดการแบ่งตัว
หนึ่งในกระบวนการความชราภาพของเซลล์คือ กระบวนการที่เซลล์หยุดแบ่งตัวและเข้าสู่สภาวะคล้ายเซลล์ซอมบี้ โดยที่พวกเขาไม่ได้มีชีวิตหรือตายไป กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับความชราและถือว่ามีบทบาทในการทำให้เกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุ  เซลล์ชราภาพจะผลิตสารเคมีอันตรายที่สามารถทำลายเซลล์โดยรอบ ทำให้เกิดการอักเสบ เนื้อเยื่อถูกทำลาย ดังนั้น การสะสมของเซลล์ชราภาพถือเป็นส่วนสำคัญต่อกระบวนการแก่ชรา

เมื่อเราอายุมากขึ้น เซลล์ชราภาพนี้จะปรากฏขึ้นทุกแห่งในเนื้อเยื่อของเรา เซลล์นี้จะถูกเรียกว่า "เซลล์ซอมบี้" เนื่องจากเซลล์เหล่านี้น่าจะตายไปแล้วแต่ยังคงเกาะอยู่ต่อไป เซลล์ชราภาพเคยเป็นเซลล์ที่แข็งแรงซึ่งสะสมความเสียหายไว้มากมาย โดยปกติแล้วควรจะทำลายตัวเองเพราะความเสียหายนี้ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น พวกเซลล์ซอมบี้ยังคงอยู่ โดยหลั่งสารที่อาจสร้างความเสียหาย เช่น ไซโตไคน์ที่ก่อการอักเสบ และโมเลกุลอื่นๆ ที่สำคัญ ส่งผลต่อการทำงานของอวัยวะที่บกพร่องลงตามมา

8. ความอ่อนล้าของเซลล์ต้นกำเนิด
เซลล์ต้นกำเนิด คือ เซลล์ที่มีความสามารถพิเศษในการแบ่งตัวและเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ในร่างกาย ทำให้มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพของอวัยวะและร่างกายโดยรวม การชราภาพส่งผลกระทบต่อเซลล์ต้นกำเนิดในหลายแง่มุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเนื้อเยื่อที่มีการสร้างเซลล์ใหม่บ่อยครั้ง กระบวนการชราของเซลล์ต้นกำเนิดเองก็อาจส่งผลต่อความเสื่อมของเนื้อเยื่อด้วย ซึ่งงานวิจัยพบว่า กระบวนการชราภาพอาจทำให้จำนวนเซลล์ต้นกำเนิดลดลง ส่งผลต่อความสามารถในการฟื้นฟูอวัยวะที่สึกหรอ

ความน่าสนใจคือ เมื่อก่อนเรามักเชื่อว่ากระบวนการชราของเซลล์ต้นกำเนิดไม่สามารถย้อนกลับได้ แต่จากงานวิจัยใหม่ๆ ชี้ให้เห็นว่าการฟื้นฟูเซลล์ต้นกำเนิดที่แก่ชรานั้นอาจเป็นไปได้ ตัวอย่างเช่น งานวิจัยที่ฉีดพลาสมาจากเลือดจากหนูวัยหนุ่มสาวเข้าไปในหนูแก่ พบว่าฟังก์ชั่นการทำงานของเซลล์ต้นกำเนิดในหนูแก่ดีขึ้น ดังนั้น การฟื้นฟูเซลล์ต้นกำเนิดที่แก่ชราจึงอาจเป็นแนวทางใหม่ในการชะลอวัยและส่งเสริมสุขภาพได้

9. การสื่อสารระหว่างเซลล์ผิดปกติ
เซลล์และอวัยวะของเราไม่ได้เสื่อมถอยไปทีละส่วน แต่มันยังสื่อสารกันผ่านฮอร์โมน ไซโตไคน์ และสารที่ได้จากกระบวนการเมตาบอลิซึมในร่างกาย การสื่อสารข้ามเซลล์นี้มีบทบาทสำคัญในกระบวนการชราภาพ

มีงานวิจัยที่ใช้เลือดสลับกันระหว่างหนูวัยเด็กกับวัยชรา ชี้ให้เห็นว่า หนูวัยชราที่ได้รับเลือดหนูวัยเด็กมีการฟื้นฟูร่างกายบางส่วนหลังทำการทดลอง ขณะที่หนูวัยเด็กที่รับเลือดจากหนูวัยชราพบสัญญาณของการชราเร็วขึ้น แสดงว่ามีปัจจัยบางอย่างในเลือดส่งผลต่อความชราของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด

เมื่อร่างกายของเราแก่ตัว เส้นทางการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์จะเปลี่ยนแปลง ส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ที่ผิดปกติ การเกิดโรค หรือการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นจากภายนอกได้ไม่เหมาะสม สาเหตุหลักประการหนึ่ง คือ ระบบหรือการสื่อสารข้ามเซลล์ที่เปลี่ยนแปลงไปในวัยชรานั่นอง อาจมาจากการสะสมดีเอ็นเอที่เสียหาย นำไปสู่การสะสมของโปรตีนที่เป็นอันตรายในเซลล์ ซึ่งอาจส่งผลต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์และภาวะที่เกี่ยวข้องกับวัยชราอื่นๆได้

10. การอักเสบภายใน / การอักเสบเรื้อรัง
การอักเสบเกิดขึ้นเมื่อร่างกายของเราพยายามต่อสู้กับการติดเชื้อหรือรักษาอาการบาดเจ็บ เป็นการตอบสนองปกติที่ช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดี อย่างไรก็ตาม เมื่อเราอายุมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันของเราจะสูญเสียประสิทธิภาพและเริ่มก่อให้เกิดปัญหามากกว่าที่จะแก้ปัญหา การอักเสบระดับต่ำเรื้อรังนี้เรียกว่า การอักเสบภายในอาจเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อและอวัยวะของเรา และเชื่อมโยงกับโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุ โดยส่งเสริมการจับกันของโปรตีนที่เนื้อเยื่อของเรา การเชื่อมโปรตีนเข้าด้วยกันเหล่านี้ ทำให้เนื้อเยื่อของเราแข็งตัว คอลลาเจนและอีลาสตินที่เกาะติดกันในผิวหนังและหลอดเลือดมีส่วนทำให้หลอดเลือดแข็งขึ้นและทำให้เกิดความดันโลหิตสูง เป็นต้น

11. ความผิดปกติในการกำจัดเซลล์ที่เสื่อมสภาพ
กลไกการกินตัวเองของเซลล์ เป็นระบบรีไซเคิลชนิดหนึ่งที่พบในเซลล์ของมนุษย์ เป็นวิธีการของร่างกายในการทำลายและรีไซเคิลส่วนประกอบของเซลล์ที่ไม่พึงประสงค์และไม่แข็งแรง มีหลักฐานที่ชัดเจนว่ากลไกการกินตัวเองของเซลล์ มีบทบาทในกระบวนการแก่ชรา จากการวิจัยพบว่า กิจกรรมของยีนที่เกี่ยวข้องกับกลไกการกินตัวเองของเซลล์ในมนุษย์ลดลงตามอายุ นอกจากนี้การยับยั้งทางพันธุกรรมของกลไกการกินตัวเองของเซลล์ ยังช่วยเร่งการแก่ชราในสิ่งมีชีวิตอีกด้วย สิ่งนี้อาจเกี่ยวข้องกับการสะสมโปรตีนและส่วนประกอบของเซลล์ที่เพิ่มขึ้น แต่ก็อาจเนื่องมาจากความสามารถในการทำลายการติดเชื้อลดลงด้วย นอกจากนี้ยังมีหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าการกระตุ้นกลไกการกินตัวเองของเซลล์ จะช่วยเพิ่มอายุขัยและอายุยืนยาวในสิ่งมีชีวิตแบบจำลอง

การกำจัดเซลล์ เป็นกระบวนการระดับเซลล์ที่จะทำการกำจัดและรีไซเคิลส่วนประกอบของเซลล์ที่เสียหาย เมื่อกระบวนการนี้ถูกรบกวน อาจนำไปสู่การสะสมของของเสียในเซลล์ของเรา ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคต่างๆ รวมถึงสภาวะทางระบบประสาทและความผิดปกติของระบบการเผาผลาญ

12. ความไม่สมดุลของไมโครไบโอม / ความไม่สมดุลของลำไส้
จุลินทรีย์นับพันล้านชนิด รวมถึงแบคทีเรีย เชื้อรา กลุ่มโปรติสต์ และไวรัส ตั้งรกรากในร่างกายมนุษย์และก่อตัวเป็นไมโครไบโอม มีการประมาณกันว่าร่างกายของเรามีเซลล์ที่ไม่ใช่มนุษย์อย่างน้อยหนึ่งเซลล์ต่อเซลล์ของมนุษย์ทุกเซลล์
จุลินทรีย์อาศัยอยู่บนผิวหนังและของเหลวในร่างกายของเรา แต่ส่วนใหญ่จะพบได้ในทางเดินอาหารของเราจึงถูกเรียกว่าไมโครไบโอมในลำไส้ ไมโครไบโอมในลำไส้มีหน้าที่สำคัญสำหรับร่างกายของเรา ได้แก่ จุลินทรีย์ช่วยย่อยอาหาร การผลิตวิตามินที่จำเป็น การสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ องค์ประกอบของไมโครไบโอมในลำไส้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่นโภชนาการและความเครียด

 

CR : vitallifeintegratedhealth

#พรีมา #prima #primagroup #primacaregroup #primasukafiberplus #สารให้ความหวานแทนน้ำตาล #หญ้าหวาน #stevia #primavitallifeprobiotic #โปรไบโอติค #โพรไบโอติค #Probiotic #primacoffeemasterpiece #primacoffeevitallife #ชะลอวัย #ผิวพรรณ #ชะลอความเสื่อม #ชะลอความแก่

Like
ความคิดเห็น (0)
ก่อนหน้า 1 ถัดไป
ร้านค้าออนไลน์
© 2006-2024
Vevo Systems Co., Ltd.