หน้าหลัก > ข่าวและประกาศ > ทำ Low-carb ค่าเลือดไม่ดี & เสี่ยงโยโย่ ในระยะยาว?
ทำ Low-carb ค่าเลือดไม่ดี & เสี่ยงโยโย่ ในระยะยาว?
ทำ Low-carb ค่าเลือดไม่ดี & เสี่ยงโยโย่ ในระยะยาว?
25 Apr, 2024 / By primacaregroup
Images/Blog/Pn3z3UHK-S__4947975.jpg

ทำไม Low-carb ลดน้ำหนักไม่ได้ผล & ค่าเลือดไม่ดี ในระยะยาว

แน่นอนครับว่า การที่เราตัดคาร์บหรือว่ากินแป้งน้อยลง เราอาจจะสามารถลดน้ำหนักได้เร็วมากในช่วงแรกๆ ซึ่งจะทำให้เรามีกำลังใจที่จะลดน้ำหนักต่อไปได้

แต่เหตุผลที่น้ำหนักลดลงเร็ว จะเกิดจากการที่ร่างกายใช้ไกลโคเจนมาเป็นพลังงานมากขึ้น มีระดับไกลโคเจนน้อยลง และเริ่มขับน้ำออกจากร่างกายมากขึ้น หรือน้ำหนักที่หายไป อาจจะไม่ได้มาจากไขมัน แต่อาจจะเป็นน้ำในร่างกาย หรือ Water weight และมวลกล้ามเนื้อได้

และที่สำคัญ ถ้าเราทำ Low-carb Diet หรือ Ketogenic Diet นานเกินกว่า 3 เดือน มันก็อาจจะทำให้เกิดผลเสียหลายอย่างต่อร่างกายเราได้ เช่น ร่างกายอาจจะเสี่ยงที่จะขาดสารอาหาร ผมร่วง ประจำเดือนขาด และผิวเหี่ยวย่นได้ เป็นต้น

 LOW-CARB DIET คืออะไร? 

Low-carb Diet ไม่ว่าจะเป็นการกินคาร์บประมาณวันละ 50-130 กรัม หรือการกินคีโต ที่จะกินคาร์บน้อยกว่าวันละ 50 กรัม ทั้งหมดนี้ คือ การไดเอทแบบพร่องแป้ง หรือวิธีการไดเอทที่จะกระตุ้นให้ร่างกายหันไปใช้ไขมัน หรือ Ketone Bodies มาใช้เป็นพลังงานมากขึ้น แทนคาร์โบไฮเดรต

ประเด็น คือ โดยทั่วไป ร่างกายจะต้องการพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก โดยเฉพาะสมอง ที่ต้องการน้ำตาลกลูโคสสูงมากในแต่ละวัน

ต่อมา ร่างกายเราสามารถเผาผลาญคาร์บมาใช้เป็นพลังงานได้ โดยไม่ต้องมีออกซิเจน หรือ Anaerobic ซึ่งจะสำคัญมากๆต่อสมรรถนะในการออกกำลังกาย

และที่สำคัญ มวลกล้ามเนื้อจะสามารถเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรต ให้กลายไปเป็นไกลโคเจน ผ่านกระบวนการ “Glycogenesis” เพื่อใช้เป็นพลังงานสำรองได้อีกด้วย

นี่คือเหตุผลที่ผู้หญิงที่อยากจะออกกำลังกายเพื่อสร้างกล้ามเนื้อและลดไขมัน จะต้องกินคาร์โบไฮเดรตให้เพียงพอ

และที่เราอ้วนขึ้นหรือร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น ส่วนใหญ่จะเกิดจากการที่เรากินคาร์บเยอะเกินไป โดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงๆ เช่น น้ำผลไม้ และขนมปังเบเกอร์รี่ เป็นต้น

กินไขมันเข้าไปแล้ว ไขมันไปอยู่ที่ไหน?

ไขมันจากอาหารและเซลล์ไขมันในร่างกาย ที่อยู่ตามเนื้อเยื่อไขมัน หรือ Adipose Tissue จะเรียกว่า “Triglycerides” ซึ่งประกอบไปด้วย Free Fatty acids 3 โมเลกุล และ Glycerol 1 โมเลกุล และร่างกายเราจะต้องแยกไตรกลีเซอไรด์ออกจากกัน ก่อนที่จะนำมาใช้เป็นพลังงานได้

ทีนี้ พอเราตัดแป้งไปและกินไขมันมากขึ้น ร่างกายเราก็จะส่งกลีเซอรอลไปที่ตับ เพื่อปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปรกติ

ส่วนกรดไขมัน หรือ Fatty Acids จะถูกเผาผลาญหรือส่งไปยังเซลล์ เพื่อเปลี่ยนเป็นแหล่งพลังงานให้กับร่างกายที่ Mitochondria ซึ่งกระบวนการเผาผลาญไขมัน หรือ Lipolysis นี้ จะต้องมีออกซิเจนเป็นเชื้อเพลิง

ประเด็น คือ จริงๆแล้วอาหารที่มีไขมันสูง จะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันในร่างกายได้เร็วและง่ายกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต และอาหารที่มีไขมันสูงๆส่วนใหญ่ จะให้พลังงานแคลอลี่เยอะ ถึงแม้ว่าจะดูไม่เยอะ หรือมีปริมาณน้อยก็ตาม

โดยทั่วไป ในแง่ของการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ร่างกายเราควรจะได้รับทั้งไขมันและคาร์บในปริมาณที่เหมาะสมไปพร้อมกัน และโปรตีนควรเอาไว้สร้างกล้ามเนื้อ หรือ Building Block มากกว่า

ทีนี้ พอเรากินแป้งน้อยหรือตัดคาร์บไป ร่างกายเราจะต้องดึงสารที่เรียกว่า “Oxaloacetate” เพื่อเอาไปปรับให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น หรือไม่ต่ำเกินไปจนเราเสียชีวิต เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ระดับน้ำตาลในเลือดจะไม่ต้องไม่ลดลง หรือมีภาวะ Hypoglycemia

แต่ Oxaloacetate นี้ จะเหลือน้อยลง จนทำให้ร่างกายต้องเปลี่ยนกรดไขมันให้กลายไปเป็นคีโตน (Ketone Bodies) และนี่ก็เป็นหนึ่งสาเหตุที่เราอาจจะปวดหัว หน้ามืด หรือมี Keto Flu ได้ ในช่วงแรกๆของการตัดแป้งไป

ต่อมา อย่างที่เกริ่นไปว่า การเผาผลาญไขมันจะต้องใช้ออกซิเจนเป็นเชื้อเพลิงเท่านั้น นี่คือเหตุผลที่การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ ทั้งเวทเทรนนิ่งและคาร์ดิโอ จะช่วยเพิ่มความสามารถในการใช้ออกซิเจนของร่างกาย โดยเฉพาะที่มวลกล้ามเนื้อ

และพอร่างกายเรามีความฟิตมากขึ้น เราจะสามารถออกกำลังกายได้หนักและนานขึ้น ซึ่งร่างกายจะมีเวลานานมากขึ้น ในการเผาผลาญไขมันนั่นเองครับ

ถึงตรงนี้เพื่อนๆจะเห็นว่า สำหรับคนออกกำลังกาย เราจำเป็นจะต้องกินคาร์บและไขมันให้เพียงพอไปพร้อมกัน เพื่อที่ร่างกายจะได้มีแหล่งพลังงานที่เพียงพอ

และการตัดแป้งไปและกินไขมันมากขึ้น อาจจะทำให้เราลดน้ำหนักได้แค่ช่วงแรกๆเท่านั้น เพราะร่างกายจะมีไกลโคเจนจากคาร์โบไฮเดรตน้อยลง และจะขับน้ำออกจากร่างกายมากขึ้น

ต่อมา ข้อเสียที่ต้องระวัง คือ อาหารที่มีไขมันสูงๆ อาจจะให้พลังงานแคลอรี่เยอะและทำให้ร่างกายสะสมไขมันได้เร็วและมากกว่า คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน ซึ่งอาจจะมีผลทำให้ร่างกายสะสมไขมันมากขึ้น และระดับไขมันในเลือดเริ่มมีปัญหาได้ เป็นต้น

ดังนั้น ถ้าเราอยากจะลดไขมันจริงๆ การกินอาหารให้ครบทุกสารอาหาร หรือ Balanced Diet และการออกกำลังกายให้ร่างกายเรามีความฟิตมากขึ้นเรื่อยๆ จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในระยะยาว

เรามาดูกันต่อครับว่า 2 ข้อเสียหลักๆ ของการงดกินแป้งไปเลย มีอะไรบ้าง

1. ท้องอาจจะผูกและไม่มีแรงออกกำลังกายได้

เพราะการที่เราไม่กินข้าว ไม่กินผลไม้ ถั่วต่างๆ หรือแม้แต่ผักบางชนิดที่เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตไป ร่างกายเราจะขาดไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารไปด้วย

นักวิจัยพบว่า เส้นใยอาหารจะช่วยในการย่อยอาหารและการขับถ่ายที่ดี และการที่ตัดแป้งไป อาจจะมีผลทำให้ระบบขับถ่ายมีปัญหา หรือท้องผูกได้ทันที เพราะปริมาณไฟเบอร์ลดลงนั่นเองครับ

ต่อมา อย่างที่เกริ่นไปว่า คาร์บคือแหล่งพลังงานที่ดีและร่างกายเราชอบที่สุด และการที่เราตัดคาร์บไป ก็อาจจะทำให้เราอ่อนเพลีย หรือแรงตกระหว่างการออกกำลังกายได้

ผัก-ผลไม้-เส้นใยอาหาร

2. ร่างกายเสี่ยงที่จะขาดสารอาหาร

โดยทั่วไป อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงๆ เช่น ผักและผลไม้ จะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นด้วย โดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินบีรวม และโพแทสเซียม เป็นต้น

ดังนั้น การตัดคาร์บไปอาจจะทำให้ผู้หญิงเสี่ยงที่จะขาดสารอาหารที่จำเป็นได้

และถ้าร่างกายได้รับพลังงานแคลอรี่น้อยเกินไปด้วย ผลเสียหลายอย่างอาจจะเกิดขึ้นตามมาได้ เช่น ผมร่วง ประจำเดือนขาด และเสี่ยงที่จะ Binge Eating หรือตะบะแตก เป็นต้น

ต่อมา พอเราเริ่มตัดแป้งไป เราอาจจะปัสสาวะบ่อยขึ้นได้ เพราะว่าร่างกายจะเริ่มขับน้ำออกมามากขึ้น ซึ่งผลเสียที่เราต้องระวัง คือ ร่างกายจะเริ่มเสี่ยงที่จะสูญเสียแร่ธาตุโซเดียม และโพแทนเซียมมากเกินไปได้อีกด้วยครับ 

 

CR : fitterminal
#พรีมา #prima #primagroup #primacaregroup #primasukafiberplus #สารให้ความหวานแทนน้ำตาล #หญ้าหวาน #stevia #primavitallifeprobiotic #โปรไบโอติค #โพรไบโอติค #Probiotic #primacoffeemasterpiece #primacoffeevitallife #ดูแลสุขภาพ #ลดปริมาณการกิน #ลดน้ำหนัก #สุขภาพดี #กินอาหารดี

Like
ความคิดเห็น (0)
ก่อนหน้า 1 ถัดไป
ร้านค้าออนไลน์
© 2006-2024
Vevo Systems Co., Ltd.