หน้าหลัก > ข่าวและประกาศ > Anti Aging ศาสตร์การชะลอวัย เพื่อผิวสวยยั่งยืนจากภายในสู่ภายนอก
Anti Aging ศาสตร์การชะลอวัย เพื่อผิวสวยยั่งยืนจากภายในสู่ภายนอก
Anti Aging ศาสตร์การชะลอวัย เพื่อผิวสวยยั่งยืนจากภายในสู่ภายนอก
18 Apr, 2024 / By primacaregroup
Images/Blog/3vchklAF-shutterstock_1136889158.jpg

แนวคิดเรื่องเวชศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging Medicine)

เริ่มต้นจากทฤษฎีของความชราภาพ ที่นักวิทยาศาสตร์พบว่า ความเสื่อมของร่างกายหรือความชรานั้นเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม เซลล์ในร่างกายเสื่อมสภาพ หรือภาวะฮอร์โมนบกพร่อง ดังนั้นทฤษฎีนี้จึงเป็นที่มาของการใช้เทคโนโลยีตรวจวิเคราะห์หาสาเหตุความผิดปกติในเซลล์ของร่างกายก่อนจะเกิดโรคขึ้นจริง ซึ่งโรคบางอย่าง ถ้าปล่อยเอาไว้ อาจจะส่งผลให้สุขภาพย่ำแย่ เมื่อมาเข้ารับการรักษาอาจจะดูช้าจนเกินไป และนอกจากนั้นเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ย่อมส่งผลให้กลไกในร่างกายเสื่อมลงหรือถดถอยตามธรรมชาติ ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายลดลงด้วยเช่นกัน และเมื่อร่างกายขาดสมดุล จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้โรคภัยไข้เจ็บอื่นๆตามมาด้วย เช่นกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ NCDs (Non-Communicable diseases)  ได้แก่ ไขมันในหลอดเลือด  อ้วนลงพุง โรคความดัน-โลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมไปถึงโรคมะเร็ง เป็นต้น ซึ่งในส่วนนี้เวชศาสตร์ชะลอวัยจะเจาะลึกลงไปถึงระดับฮอร์โมน วิตามิน เกลือแร่ในร่างกายในห้องปฏิบัติการทางชีวโมเลกุล เพื่อการดูแลสุขภาพของแต่ละบุคคลอย่างเหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้อย่างตรงจุด

สาเหตุของความเสื่อมที่ก่อให้เกิดความชรา

การเสื่อมถอยของอวัยวะเมื่อมีอายุมากขึ้น มีสาเหตุสำคัญมาจากหลายปัจจัย ดังต่อไปนี้

  • การใช้งานร่างกายหักโหมเกินไป
    ร่างกายของมนุษย์มีข้อจำกัดมากมาย เมื่อถูกใช้งานอย่างหนักและหักโหมต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน สามารถนำไปสู่ความเสื่อมถอยของเซลล์อวัยวะ จนทำให้ประสิทธิภาพลดน้อยถอยลงไปได้
  • ภาวะความบกพร่องของฮอร์โมน
    จะว่าไปแล้วฮอร์โมนนับเป็นสิ่งสำคัญในการเชื่อมต่อการทำงานของระบบและอวัยวะทุกส่วนในร่างกายให้เป็นปกติ ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน เมลาโทนิน เซโรโทนิน เอสโตรเจน และอื่นๆ โดยจะทำงานผ่านทางกระแสเลือด เพื่อทำให้เกิดการเจริญเติบโต ชะลอความแก่ ช่วยในระบบเผาผลาญร่างกายและภาวะการเจริญพันธุ์ของร่างกายให้เป็นไปอย่างสมบูรณ์ โดยปกติร่างกายมนุษย์จะผลิตฮอร์โมนขึ้นมามากกว่า 50 ชนิด เพื่อทำให้กระบวนการทำงานในส่วนต่างๆของร่างกายสามารถดำเนินไปได้อย่างเป็นระบบ และระดับฮอร์โมนในร่างกายจะสูงสุดในช่วง 20-25 ปี แล้วหลังจากนั้นก็จะค่อยๆลดลง ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจตามมา ซึ่งแต่ละคนจะขาดฮอร์โมนแต่ละชนิดในปริมาณที่แตกต่างกัน นั่นจึงเป็นเหตุให้อาการที่แสดงออกมาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
  • พันธุกรรม
    พันธุกรรมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่สามารถกำหนดกระบวนการชราภาพได้ เช่น บางคนมีกรรมพันธุ์เกิดผมขาวหรือผมหงอกก่อนวัย เป็นต้น ซึ่งสามารถส่งต่อไปยังคนรุ่นต่อๆ ไปได้
  • ภาวะของการเกิดอนุมูลอิสระ
    การเกิดอนุมูลอิสระเกิดขึ้นได้ทั้งในส่วนที่เป็นปัจจัยภายในที่เป็นระบบการทำงานของร่างกาย โดยมีปัจจัยภายนอกเป็นตัวกระตุ้น ได้แก่อาหารที่รับประทานรวมถึงมลภาวะที่เป็นพิษจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ก็สามารถส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ต่างๆในร่างกายได้ เนื่องจากอนุมูลอิสระสามารถทำให้ DNA ของเซลล์ถูกทำลายได้ง่ายๆและไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ จนตายไปในที่สุด ดังนั้นในการชะลอวัย การควบคุมอนุมูลอิสระจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง

กลุ่มคนที่สามารถไปพบแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัย

ไม่เพียงแค่เฉพาะคนในกลุ่มวัยกลางคนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปพบแพทย์ชะลอวัยได้ แต่ยังรวมถึงกลุ่มคนต่างๆดังต่อไปนี้

  • กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงจากกรรมพันธุ์
    เป็นคนในครอบครัวที่พ่อแม่หรือบรรพบุรุษมีประวัติป่วยเป็นโรคต่างๆเช่น โรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง หรือโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น
  • กลุ่มคนที่มีโรคประจำตัว
    คนที่มีโรคประจำตัว อาทิเช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง เส้นเอ็นอักเสบ โรคไขมันในเลือดสูง โรคต่างๆที่เกี่ยวข้องกับระบบของกล้ามเนื้อ โรคผื่นคัน หรืออาการปวดเรื้อรัง ฯลฯ
  • กลุ่มคนรักสุขภาพ
    กลุ่มคนรักสุขภาพ คือคนที่มักเอาใจใส่เรื่องสุขภาพร่างกายและอาการต่างๆที่เกิดขึ้น เช่นเหนื่อยง่าย ไม่สดชื่นหลังตื่นนอน นอนไม่หลับ เป็นต้น และเมื่อทำการตรวจวินิจฉัยหรือรักษาแล้วไม่พบสาเหตุและไม่สามารถรักษาได้ ส่วนใหญ่จะเข้ารับคำแนะนำและการรักษาแบบ Anti-Aging

เวชศาสตร์ชะลอวัยเกี่ยวข้องกับด้านใดบ้าง

เวชศาสตร์ชะลอวัย มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆ เพื่อนำมาซึ่งการรักษา แก้ไขและป้องกัน ดังต่อไปนี้

  • เกี่ยวข้องกับอนุมูลอิสระและสารต้านอนุมูลอิสระ
    การได้ทราบข้อมูลความจริงเกี่ยวกับปริมาณค่าอนุมูลอิสระและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้เราสามารถวางแผนเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพได้อย่างถูกต้องและมีความสมดุล
  • เกี่ยวข้องกับวิตามินที่ได้จากการรับประทาน
    มีรายงานจากองค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) และองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations :FAO)  ว่าประชากรทั่วโลกกว่า 2 พันล้านคนมีการขาดวิตามินและแร่ธาตุ เนื่องจากสารอาหารที่ได้รับไม่ตรงกับสิ่งที่ร่างกายต้องการ (Hidden Hunger Crisis) จึงพอจะอนุมานได้ว่าอาการขาดวิตามินบางครั้งเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพราะไม่มีการแสดงออกอย่างเด่นชัดของโรค และความต้องการวิตามินของแต่ละบุคคลอาจไม่เท่ากัน  ดังนั้นการได้ตรวจวัดระดับวิตามินในร่างกายให้ชัดเจน ก็จะได้ทราบถึงความขาดเกินของแต่ละท่าน เพื่อที่จะสามารถเติมสมดุลให้กับร่างกายของแต่ละคนได้อย่างปลอดภัยมากที่สุด 
  • เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนในร่างกาย
    อย่างที่เราทราบกันดีว่าฮอร์โมนมีความเกี่ยวข้องในการควบคุมระบบการทำงานในร่างกาย เมื่ออายุยังน้อยระดับฮอร์โมนยังทำงานได้เป็นปกติ ผิวพรรณยังเต่งตึงสดใส แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ระดับฮอร์โมนก็ลดลง เมื่อเป็นแผลก็จะหายช้าลง ริ้วรอย จุดด่างดำมากขึ้น เริ่มเหนื่อยง่าย ความจำไม่ดี สมดุลในร่างกายเริ่มลดน้อยลง การมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้อง จะช่วยปรับสมดุลให้ฮอร์โมนอยู่ในระดับที่ดีมากขึ้นในแต่ละบุคคลด้วย
  • เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม
    ปฏิเสธไม่ได้ว่า พันธุกรรมมีความเกี่ยวข้องกับเวชศาสตร์การชะลอวัยอย่างชัดเจน เนื่องจากมีโรคหรืออาการผิดปกติบางชนิดที่ไม่สามารถตรวจพบได้ในเบื้องต้นแต่เสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต การดูค่าความเสี่ยงในระดับพันธุกรรมและการหาค่าความผิดปกติที่ลึกลงไปนั้น ก็จะสามารถบอกความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆในอนาคตได้

ขั้นตอนของเวชศาสตร์ชะลอวัย

ในวิธีการและขั้นตอนของการตรวจ วินิจฉัยและรักษาแบบเวชศาสตร์ชะลอวัย มีกระบวนการต่างๆตามลำดับดังต่อไปนี้

  • Consult
    ในขั้นตอนแรก แพทย์จะสอบถามประวัติพร้อมทั้งตรวจเช็คร่างกายเบื้องต้นอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการดำเนินชีวิตประจำวัน การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อน เพื่อหาสมมติฐานของความผิดปกติเบื้องต้น
  • Analyze
    ในขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นที่ได้รับจากการตรวจร่างกายเบื้องต้น และจะมีการตรวจสอบในขั้นต่อไปตามความเหมาะสมของแต่ละคน เช่น การตรวจระดับฮอร์โมน ตรวจระดับวิตามินในร่างกาย หรือสารต้านอนมูลอิสระ เป็นต้น
  • Check Up
    การตรวจสุขภาพแบบ Anti-Aging จะมีการตรวจที่ละเอียดและลงลึกมากกว่าการตรวจสุขภาพโดยทั่วไป ซึ่งนั่นหมายถึงจะต้องพึ่งพาเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วย เพราะจะสามารถวิเคราะห์ถึงการทำงานในระดับเซลล์ได้ และเมื่อพบความผิดปกติจะได้ทำการแก้ไขหรือรักษาให้ทันเวลา
  • Treatment
    ในกระบวนการรักษา แพทย์จะออกแบบโปรแกรมสำหรับแต่ละบุคคลตามผลการวินิจฉัย เพื่อผลลัพธ์ที่ตรงจุดและน่าพึงพอใจ พร้อมทั้งมีการติดตามผลเพื่อสังเกตอาการอย่างต่อเนื่อง

วิธีการรักษาในแนวทาง Anti-Aging

ในการรักษาตามหลักของเวชศาสตร์ชะลอวัย มีแนวทางสำคัญที่ต้องทำควบคู่กัน ดังต่อไปนี้

  • ปรับรูปแบบการใช้ชีวิต
    ชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสมดุลตามธรรมชาติ เช่น การรับประทานอาหารที่ถูกต้องและได้สัดส่วน การพักผ่อนที่เพียงพอในแต่ละวัน การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการจัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสม เป็นต้น
  • เสริมวิตามินและฮอร์โมน
    ในกรณีที่อายุเพิ่มมากขึ้นหรือระบบการทำงานในร่างกายเริ่มมีปัญหา แพทย์มักแนะนำอาหารเสริมที่มาจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินและฮอร์โมนในรูปแบบและปริมาณที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล เพื่อช่วยให้ร่างกายได้เกิดการฟื้นฟูตามมา
  • การใช้ Stem Cell, Placenta, PRP
    การรักษาด้วย Stem Cell หรือ เซลล์ต้นกำเนิด กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เมื่อมีการฉีด  Stem Cell เข้าไปในร่างกาย ตัว Stem Cell จะเข้าไปช่วยสร้างและช่วยในการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเซลล์ต่างๆ จากเซลล์เดิมที่เสื่อมสภาพหรือตายไปแล้ว เพื่อให้ร่างกายสามารถกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ซึ่งในการรักษาด้วย Stem Cell แพทย์อาจพิจารณาวิธีอื่นๆในการรักษาร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยStem Cell จากเกล็ดเลือดหรือ PRP ,การรักษาด้วย Growth Factor หรือ Placenta ร่วมกับการใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีความทันสมัย
  • การชะลอวัยด้วยครีม
    ไม่เพียงสุขภาพร่างกายเท่านั้น ที่เวชศาสตร์การชะลอวัยสามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี แต่ยังรวมไปถึงเรื่องของความงามและผิวพรรณอีกด้วย เพื่อประสิทธิภาพและผลลัพธ์ที่ชัดเจนอย่างตรงจุด เราไปทำความรู้จักกับครีมประเภทนี้ด้วยกัน

ครีมประเภท Anti-Aging คืออะไร

ครีมประเภท Anti-Aging ก็คือครีมชะลอริ้วรอยแห่งวัย ที่โดยทั่วไปมักมีส่วนผสมของสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ (Antioxidant) หรือคอลลาเจนเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว รวมถึงสารเพิ่มความชุ่มชื้นเพื่อเติมร่องลึกบนชั้นผิวให้ดูตื้นขึ้น เมื่ออายุประมาณ 20 ปีขึ้นไป  รวมถึงผู้ที่แต่งหน้าเป็นประจำ หรือผู้ที่อยู่ในที่ที่มีมลภาวะ ก็สามารถเริ่มใช้ครีม Anti-Aging ได้เพราะสามารถดูแลและช่วยบำรุงผิวด้วยการปกป้องริ้วรอยที่อาจเกิดขึ้นได้

การดูแลและปกป้องผิวไม่ให้แก่ก่อนวัย

การดูแลผิวเป็นเรื่องที่สามารถทำได้แต่เนิ่นๆเพื่อช่วยชะลอและป้องกันริ้วรอยก่อนวัย ซึ่งนั่นหมายถึงจะต้องมีการปรับเปลี่ยนมุมมองความเข้าใจและพฤติกรรมต่างๆควบคู่กันไปด้วย ดังนี้

  • ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF ที่เหมาะสม
    ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย รวมถึงริ้วรอยแห่งวัยก็คือแสงแดด และแสงสีฟ้าจากคอมพิวเตอร์ แสงไฟ หรือแสงจากจอมือถือ การทาครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในที่ร่มหรือกลางแดดจ้าก็ตาม ที่สำคัญควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF50+ขึ้นไป เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันแสงยูวีแล้ว ยังสามารถช่วยปกป้องผิวได้อย่างล้ำลึก ไม่ให้ผิวดูแก่ก่อนวัย ช่วยชะลอจุดด่างดำ ทั้งยังช่วยปกป้องสารต้านอนุมูลอิสระในผิวได้อีกด้วย ที่สำคัญควรเลือกครีมกันแดดที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม พาราเบนหรือสารอันตรายอื่นๆ
  • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants)
    ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวไม่ว่าจะเป็นครีมหรือเซรั่ม ควรเลือกที่มีส่วนผสมของสารต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidants) ที่ไม่เพียงช่วยเรื่องการลดเลือนริ้วรอยเท่านั้น แต่ยังช่วยทำให้ผิวดูกระจ่างใส มีชีวิตชีวาขึ้น โดยส่วนใหญ่มีอยู่ในวิตามินต่างๆ เช่น
    • วิตามินซี (Vitamin C) : ช่วยในการลดเลือนริ้วรอยต่างๆ ทั้งยังช่วยดความหมองคล้ำ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ และเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิว
    • วิตามินอี (Vitamin E) : ช่วยในการปกป้องผิวจากมลภาวะและแสงแดด ทั้งยังช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดเลือนรอยแผลเป็นต่างๆได้ด้วย
    • ชาเขียว (Green Tea) : จากผลการวิจัยพบว่าชาทุกชนิดมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ดังนั้นจึงมีสรรพคุณที่ช่วยต้านริ้วรอยก่อนวัยได้เป็นอย่างดี
    • ไฮยาลูรอนหรือไฮยาลูโรนิก แอซิด : ช่วยผิวอุ้มน้ำและรักษาความชุ่มชิ้นให้กับผิวช่วยลดเลือนริ้วรอยและฟื้นฟูสภาพผิวให้ดีขึ้น

สิ่งที่เป็นเคล็ดลับสำคัญในการใช้ครีมบำรุงผิวเพื่อใบหน้าที่อ่อนเยาว์ คือจะต้องเลือกครีมที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละท่าน เช่นสำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ควรเลือกที่เป็นแบบ Oil free สำหรับคนผิวแห้งควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์มากเป็นพิเศษ เป็นต้น

  • ทาสกินแคร์อย่างถูกวิธี
    เนื่องจากผิวหน้าของคนเรา มีความบอบบาง ดังนั้นจึงต้องการการสัมผัสที่อ่อนโยน ในการทาสกินแคร์ต่างๆลนผิวหน้า จะต้องทำอย่างเบามือ ไม่เช่นนั้นอาจเสี่ยงต่อการเกิดริ้วรอยที่เพิ่มขึ้นได้ โดยเปลี่ยนจากการทาครีมแบบเดิมมาเป็นการค่อยๆกดให้เนื้อครีมค่อยๆซึมเข้าสู่ใต้ผิว ทั้งยังเป็นการช่วยลดการระคายเคืองได้อีกทางหนึ่งด้วย
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
    มีผลการวิจัยว่าการรับประทานผักหรือผลไม้สดสามารถช่วยป้องกันอาการชราก่อนวัยอันควรได้ เนื่องจากมีวิตามินที่ช่วยในการบำรุงผิว รวมถึงสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนให้กับผิว เพราะโครงสร้างสำคัญของผิวที่มีผลต่อการเกิดริ้วรอยคือคอลลาเจน ดังนั้นการรับประทานอาหารที่มีปริมาณคอลลาเจนสูงก็สามารถเป็น Anti-Aging ตามธรรมชาติได้ ในทางตรงกันข้าม การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาล แป้งหรือคาร์โบไฮเดรคสูง จะส่งผลต่อการเร่งอายุของผิว ทำให้ผิวแก่ก่อนวัยอันควรได้มากกว่า ซึ่งอาหารที่อุดมไปด้วยคอลลาเจน ได้แก่ ถั่วเหลือง , ผักใบเขียว รวมถึงกระเทียมที่อุดมไปด้วยซัลเฟอร์ กรดไลโปอิก (lipoic acid) และกรดอะมิโนทอรีน (Taurine) ที่ช่วยเสริมสร้างเส้นใยคอลลาเจนที่ถูกทำลายได้
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย
    ผิวที่ขาดน้ำจะมีลักษณะฝ่อและเหี่ยวได้อย่างง่ายดาย แต่การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 5-2 ลิตรหรือ 8-10 แก้วต่อวัน จะทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้นและฉ่ำน้ำ ทำให้ผิวสดใสห่างไกลจากรอยเหี่ยวย่น ทั้งยังส่งผลให้ระบบต่างๆของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ระบบการขับถ่ายทำงานได้เป็นปกติ ไม่มีสารพิษตกค้างในร่างกาย
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
    Beauty Sleep เป็นศาสตร์การนอนเป็นเวลาเพื่อให้หน้าตาอ่อนเยาว์และเพื่อความสดใสเปล่งปลั่งของผิวพรรณ ในช่วงของการนอนหลับ เป็นช่วงที่ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ชื่อโกรท ฮอร์โมน(Growth Hormone) ออกมาเพื่อฟื้นฟูร่างกาย ดังนั้นหากต้องการให้ผิวมีสุขภาพดีและกลับมาสดใส ควรนอนอย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง และไม่ควรนอนดึกจนเกินไป ควรสร้างบรรยากาศให้เอื้อต่อการนอน ไม่ควรมีสิ่งรบกวนภายในห้องนอน ที่สำคัญห้องนอนที่ดีควรเงียบสงบ มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
    จากผลการศึกษาพบว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสามารถเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตและทำให้ระบบภูมิต้านทานในร่างกายดีขึ้น ทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ สดใส เปล่งปลั่ง เต่งตึงมีชีวิตชีวา เนื่องจากร่างกายได้ขับของเสียออกมาทางเหงื่อ ช่วยดีท็อกซ์ผิวแบบธรรมชาติ และยังช่วยให้หน้าดูเด็กลงด้วย
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์
    การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ ไม่เพียงส่งผลร้ายต่อสุขภาพร่างกายโดยรวมเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อความแข็งแรงของสุขภาพผิวอีกด้วย เนื่องจากสารนิโอติน ทาร์ และสารอันตรายต่างๆในบุหรี่เป็นสารที่จะทำให้ผิวเสื่อมสภาพได้อย่างรวดเร็ว เพราะจะช่วยเร่งการสลายตัวของคอลลาเจนในผิว ทำให้หลอดเลือดหดตัว เป็นอุปสรรคต่อการส่งออกซิเจนและสารอาหารไปยังผิวของเราได้ ดังนั้นจึงเท่ากับเป็นการเร่งริ้วรอยต่างๆให้เกิดเร็วขึ้น ทั้งยังส่งผลให้ผิวหมองคล้ำและซีดจางลงอีกด้วย ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สามารถขจัดน้ำออกจากผิวหนังได้ ทำให้ผิวขาดน้ำ ทำให้หน้าดูแก่ก่อนวัย และยังทำให้เกิดการสะสมของสารพิษ ส่งผลให้ผิวเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น
  • ทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี
    การทำความสะอาดผิวแรงๆ ไม่ว่าจะถูหรือขัดหน้า เป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้โดยง่าย และเป็นที่มาของริ้วรอยก่อนวัย ดังนั้นควรทำความสะอาดผิวอย่างเบามือและอ่อนโยน โดยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่ได้คุณภาพมาตรฐานและเหมาะกับสภาพผิวของแต่ละท่าน โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองได้โดยง่าย
  • บริหารหน้าอยู่เสมอ
    การบริหารกล้ามเนื้อบริเวณผิวหน้าหรือที่เรียกว่าโยคะหน้า สามารถทำได้ง่ายๆ โดยอ้าปากค้างแล้วทำเสียงอะ อิ อุ เอะ โอะ ท่าละ 5 วินาที สามารถช่วยยกกระชับ ป้องกันหน้าเหี่ยวย่น และทำให้ผิวดูเต่งตึงขึ้นมาได้
  • ทำทรีตเม้นท์ยกกระชับผิวหน้า
    การทำทรีตเม้นท์ยกกระชับผิวหน้า เป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ช่วยลดเลือนริ้วรอยแห่งวัยและปรับสภาพผิวหน้าให้กระชับมากขึ้น หรือสามารถทำทรีตเม้นท์ด้วยตัวเองได้ง่ายๆด้วยการใช้ไข่ขาวมาพอกที่หน้า จากนั้นให้ใช้นิ้วนางและนิ้วกลางนวดวนทั่วหน้า แล้วทิ้งไว้จนไข่ขาวแห้ง แล้วล้างออก การทำเช่นนี้สัปดาห์ละครั้ง เป็นการช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรกบนใบหน้าและรูขุมขน และยังทำให้ใบหน้าเรียบตึงขึ้นด้วย หรืออาจจะมาส์กหน้าด้วยแผ่นมาส์กหรือครีมมาส์กหน้า จะช่วยให้รูขุมขนกระชับมากขึ้น ผิวกระจ่างใสขึ้น จุดด่างดำลดลง ทำให้ผิวชุ่มชื้นและฟูขึ้นด้วย
  • งดแต่งหน้าบ้าง
    การแต่งหน้าจัดเป็นประจำทำให้หน้าแก่ได้ง่ายๆ เนื่องจากในเครื่องสำอางที่ใช้แต่งหน้าล้วนแต่มีสารต่างๆที่ทำให้ผิวหนังระคายเคืองและรบกวนผิว ดังนั้น ควรให้เวลากับผิวได้หายใจด้วยการงดแต่งหน้าบ้าง หรือหากจำเป็นต้องแต่งหน้า ควรมีการล้างทำความสะอาดอย่างหมดจดทุกครั้ง
  • ผ่อนคลายความตึงเครียด
    ความเครียดเป็นอีกหนึ่งตัวการที่ทำให้หน้าแก่ก่อนวัยหรือริ้วรอยตามมามากมาย ดังนั้นควรหาวิธีคลายเครียดที่เหมาะสมสำหรับตัวท่านเอง โดยการหาความสุขจากสิ่งเล็กน้อยรอบตัว การทำกิจกรรม งานอดิเรกที่ผ่อนคลายที่จะช่วยให้อารมณ์ดีอยู่เสมอและยังทำให้หน้าเด็กลงได้อีกด้วย

 

อาหาร Anti-Aging ต้านริ้วรอยแห่งวัย

นอกจากการเลือกใช้ศาสตร์ชะลอวัย รวมถึงการทาครีมเพื่อลดเลือนริ้วรอยแห่งวัยแล้ว เพื่อผลลัพธ์ที่ดีควรทำควบคู่กับการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่มีฤทธิ์ในการต้านริ้วรอย ดังต่อไปนี้

  • ผลไม้ประเภทตระกูลเบอร์รี่
    ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้เซลล์ผิวแข็งแรงขึ้น พร้อมทั้งป้องกันสารพิษต่างๆที่จะเข้าสู่ร่างกายได้อีกด้วย
  • ปลา
    ปลา เป็นแหล่งรวมของไขมันดี อย่างโอเมก้า 3 และสาร Ani-aging ซึ่งมีส่วนช่วยให้ร่างกายไม่เสื่อมสภาพเร็วจนเกินไป
  • ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
    ไม่ว่าจะเป็นเต้าหู้ หรือน้ำเต้าหู้ ล้วนแต่ให้ประโยชน์จากโปรตีนธรรมชาติ พร้อมทั้งแร่ธาตุและวิตามินต่างๆ ช่วยเสริมฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้ผิวพรรณสดใส ไม่หย่อนคล้อย

CR : mesoestetic

#พรีมา #prima #primagroup #primacaregroup #primasukafiberplus #สารให้ความหวานแทนน้ำตาล #หญ้าหวาน #stevia #primavitallifeprobiotic #โปรไบโอติค #โพรไบโอติค #Probiotic #primacoffeemasterpiece #primacoffeevitallife #ชะลอวัย #ผิวขาว #สขภาพผิว #ความชรา

Like
ความคิดเห็น (0)
ก่อนหน้า 1 ถัดไป
ร้านค้าออนไลน์
© 2006-2024
Vevo Systems Co., Ltd.